วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

วันวิสาขบูชา ตอนวันตรัสรู้

วันวิสาขบูชา ตอนวันตรัสรู้


     “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอกบุรุษเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของมหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เอกบุรุษ คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”
    การที่เราหมั่นตรึกระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ จึงถือเป็นการเจริญพุทธานุสติ จะมีอานิสงส์ใหญ่ส่งผลให้เราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้โดยง่าย โดยเฉพาะในเดือนนี้เป็นเดือนวิสาขมาส เป็นเดือนแห่งชัยชนะที่ไม่มีวันกลับแพ้ของพระบรมศาสดาของพวกเราทั้งหลาย เป็นเหตุให้หมู่สัตว์หลุดพ้นจากบ่วงมาร พ้นจากความมืดมิดคืออวิชชา เป็นการปลดแอกที่ไม่ถูกควบคุมด้วยกิเลสอาสวะอีกต่อไป
 
 
 
 
 
 
การที่พระพุทธองค์ ทรงได้รับชัยชนะเหนือพญามาร ในคืนวันเพ็ญดือน



วิสาขมาสนั้น เป็นการประกาศชัยที่ลือลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ จึงได้รับการเฉลิมพระนามว่า พระชินเจ้า หรือพระอนันตชิน ซึ่งหมายถึงผู้มีชัยชนะไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อเป็นการระลึกนึกถึงชัยชนะของพระพุทธองค์ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เราจะมาพร้อมใจกันรำลึกถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีเหนือพญามารในวันนั้น เรื่องมีอยู่ว่า
 
 
 
 
 
 
 
 
  พญามารได้ตามรังควานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามาตลอดตั้งแต่ครั้งทรงออกผนวช ก็เอาสมบัติจักรพรรดิมาล่อ แต่ไม่สำเร็จ จึงปิดบัง เห็น จำ คิด รู้ ของพระองค์ ไม่ให้รู้หนทางสายกลาง ทำให้ต้องเสียเวลาในการบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ในที่สุดเมื่อบารมีแก่รอบ พระองค์ก็ทรงสามารถเอาชนะพญามารได้ คำว่า มารหรือพญามาร แปลว่า ผู้ขวางความดี ขวางหนทางการสร้างบารมีของผู้ที่คิดจะสร้างบารมี นอกจากขัดขวางแล้ว ยังชักนำให้ทำในสิ่งที่เป็นบาปอกุศลอีกด้วย ให้สร้างกรรมพอกพูนอาสวกิเลสให้หนาแน่นจนเป็นผังสำเร็จ และต้องไปชดใช้กรรมอย่างทุกข์ทรมาน มีวิบากที่เป็นทุกข์ วนเวียนอยู่ในวัฏจักรของกิเลส กรรม วิบาก ยากที่จะหลุดพ้นจากภพทั้ง ๓ ได้ พญามารนี่แหละที่เป็นผู้ทำให้สรรพสัตว์หลงวนอยู่ในวัฏสงสาร


ทรงมีชัยชนะต่อพญามาร


ในวันที่พระมหาบุรุษจะตรัสรู้นั้น พระองค์ประทับนั่งอยู่ที่โคนต้น อัสสัตถพฤกษ์ หรือต้นโพธิ์ตรัสรู้ ทรงหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก มีพระทัยตั้งมั่น ประทับนั่งคู้บัลลังก์ โดยตั้งสัตยาธิษฐานว่า “แม้เนื้อและเลือดในสรีระเราจะแห้งเหือดไปหมดสิ้น จะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที หากเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้” คือ จะไม่ลุกจากที่เด็ดขาด

พญามารล่วงรู้ถึงความคิดนั้นก็ทนไม่ได้ จึงคิดทำลายความตั้งใจของ พระมหาบุรุษ มิฉะนั้นแล้ว พระองค์จักพ้นไปจากอำนาจของมาร พญามารจึงรวบรวมเสนามาร และไพร่พลมารทั้งหมด ยกทัพมาปราบพระโพธิสัตว์ โดยมีพลพรรคของเสนามารพวกที่อยู่ทัพหน้าเป็นทางยาวถึง ๑๒ โยชน์ กองทัพด้านขวาซ้าย ด้านละ ๑๒ โยชน์ ส่วนทัพหลังตั้งอยู่จรดขอบจักรวาล สูงขึ้นเบื้องบน ๙ โยชน์

เมื่อพวกมารโห่ร้อง เสียงโห่ร้องนั้น เสมือนเสียงแผ่นดินทรุดตั้งแต่พันโยชน์ เทพบุตรมารขี่ช้างคิริเมขล์สูง ๑๕๐ โยชน์ เนรมิตแขนตั้งพัน ถืออาวุธนานาชนิด พวกหมู่มารที่เหลือล้วนมีรูปร่างน่าสะพรึงกลัวแตกต่างกันไป มีฤทธิ์มีเดชแตกต่างกันอีกด้วย ต่างมุ่งมาจู่โจมพระโพธิสัตว์จากทิศทั้งสี่

  
  ขณะเดียวกันนั้นเอง เทวดาในหมื่นจักรวาล กำลังพากันกล่าวสดุดี พระโพธิสัตว์ โดยมีท้าวสักกเทวราชยืนเป่าสังข์วิชยุตรซึ่งมีขนาดประมาณ ๑๒๐ ศอก พญากาฬนาคราชยืนพรรณนาพระคุณของพระโพธิสัตว์ ท้าวมหาพรหมยืนกั้นเศวตฉัตร เมื่อเหล่ามารจู่โจมเข้ามาใกล้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทวยเทพทั้งหมดก็เกิดอาการขนพองสยองเกล้า ตกอกตกใจกันไปหมด รีบเผ่นหนีไปสุดขอบจักรวาล พญากาฬนาคราชดำดินไปมัญเชริกนาคพิภพ ซึ่งมีขนาด ๕๐๐ โยชน์ นอนเอามือทั้งสองปิดหน้า ท้าวสักกเทวราชลากสังข์วิชยุตร พร้อมด้วยเหล่าทวยเทพหนีไปอยู่ขอบจักรวาลโน้น ท้าวมหาพรหมจับยอดเศวตฉัตรเสด็จหนีไปพรหมโลกทันที

พระโพธิสัตว์ถูกทอดทิ้งอยู่เพียงลำพังพระองค์เดียว ไม่มีใครเป็นที่พึ่งได้ จึงทรงรำพึงว่า “มารเหล่านี้ทำความพากเพียรใหญ่โต เพราะมุ่งหมายทำลายเราผู้เดียว ในที่นี้ เราไม่มีพวกพ้องบริวาร มีแต่ทศบารมีเท่านั้น ที่เป็นเสมือนบริวารชนที่เราชุบเลี้ยงมาตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เราควรทำบารมี ๓๐ ทัศ ให้เป็นยอดขุนพล เอาศาสตรา คือ บารมีนั่นแหละประหาร กำจัดหมู่พลมารนี้ให้ได้” ทรงนึกถึงบารมีทั้ง ๑๐ ทัศ รวมไปถึงอุปบารมีและปรมัตถบารมีเป็น ๓๐ ทัศ



     เมื่อทรงรำลึกถึงพระบารมีทั้ง ๓๐ ทัศแล้ว พระองค์มิได้หวาดกลัวอานุภาพของพญามารและเสนามาร แม้พวกเสนามารจะเปล่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สะเทือนไปทั่วทั้งภพ ๓ หวังจะทำให้มหาบุรุษหวั่นไหว ก็ไม่อาจเข้ามาใกล้พระมหาบุรุษได้ ด้วยอำนาจบารมีธรรมที่พระองค์สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ถึงมารจะแสดงอาการข่มขู่เช่นไร พระมหาบุรุษยังคงประทับนั่งอยู่ที่รัตนบัลลังก์ โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย


พญามารเห็นว่า บรรดาเสนามารมิอาจทำอันตรายพระมหาบุรุษได้ก็โกรธ คิดว่าเราจะต้องใช้อาวุธ ๙ ประการ ทำให้พระมหาบุรุษกลัวแล้วหนีไปให้ได้ พญามารพลันบันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดมาจากทั่วสารทิศ มีกำลังลมสามารถทำลายภูเขาใหญ่สูงถึง ๒ โยชน์ให้สลายไปในทันที แต่ลมนั้นกลับไม่อาจทำอันตรายแม้จีวรของพระมหาบุรุษให้ไหวได้ พญามารได้บันดาลให้เกิดมหาเมฆ ทำห่าฝนให้ตกลงมา น้ำฝนไหลนองไปทั่ว แต่ก็ไม่อาจทำให้แม้จีวรของพระมหาบุรุษเปียกได้ เพราะเปี่ยมล้นด้วยบารมี จึงมีชัยชนะ




 ขณะที่พญามารและพระโพธิสัตว์กำลังต่อสู้กันอยู่ อุกกาบาตได้ตกลงมา ทิศทั้งหลายต่างมืดมัวด้วยควัน แผ่นดินแม้ไม่มีใจก็เหมือนมีใจ ถึงความพลัดพรากเหมือนหญิงสาวพลัดพรากจากสามี เหมือนเถาวัลย์ต้องลมพัดแรง มหาสมุทรก็มีน้ำปั่นป่วน แม่น้ำทั้งหลายไหลทวนกระแส ลำต้นไม้ต่างๆ คดงอ พายุร้ายพัดไปรอบๆ มีเสียงอึกทึกครึกโครม ความมืดที่ปราศจากดวงอาทิตย์ก็เลวร้าย สัตว์ร้ายท่องไปในกลางหาวก็ไม่กล้าบินต่อ ส่วนหมู่ทวยเทพทั้งหลายเห็นมารประสงค์จะประหารพระมหาสัตว์ ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพทั้งปวง ต่างพากันเอ็นดูและส่งเสียงคอยเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ


พระบรมโพธิสัตว์รู้ว่า กำลังผจญกับศัตรูที่ไม่มีใครในภพสามจะปะทะได้ จึงนึกถึงแต่กำลังบารมี ๓๐ ทัศ ที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้มาเป็นธรรมาวุธอันวิเศษเป็นเกราะแก้วคุ้มกันภัย และเอาชนะศัตรูที่มาข่มขู่อยู่เบื้องหน้า ขณะนั้นเองพญามารได้บันดาลให้ฝนถ่านสีแดงร้อนแรงราวกับไฟนรก แต่เมื่อตกลงมาก็กลับกลายเป็นทิพยมาลาบูชาพระมหาบุรุษ พญามารจึงบันดาลให้ฝนชนิดต่างๆ ตกลงจากอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประหาร ถ่านไฟ ไฟนรก ฝนทราย ฝนโคลนและฝนน้ำกรด แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้

เมื่อพญามารไม่อาจทำอันตรายมหาบุรุษด้วยฤทธิ์ของตนได้ ก็โกรธมาก เร่งไพร่พลให้ไปจับพระมหาบุรุษมาประหารให้ได้ ตัวพญามารเองก็ไสช้างคิรีเมขล์เข้าไปที่ต้นโพธิ์ ประกาศว่า “ดูก่อนสิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ รัตนบัลลังก์นี้ไม่ควรแก่ท่าน ควรแก่เราต่างหาก” พวกเสนามารพากันโห่ร้องรับกันลั่นไปทั่วภพสาม

พระมหาบุรุษตรัสว่า “รัตนบัลลังก์นี้ บังเกิดขึ้นด้วยบุญของเรา หาได้เกิดเพราะบุญของท่านไม่ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ยอมลุกเด็ดขาด”

พญามารขู่ว่า “ท่านไม่รู้จักกำลังของเรา เรามีพหลโยธามากมาย มีอาวุธครบครัน ส่วนตัวท่านนั้นมีเพียงลำพังคนเดียว ยังกล้ามาลองดีกับเราอีก”

พระมหาบุรุษตอบโต้โดยไม่สะทกสะท้านว่า “ดูก่อนมาร แม้ตัวท่านก็ไม่รู้กำลังของเรา เราได้บำรุงเลี้ยงไพร่พลไว้มากมาย มีอาวุธพร้อมมือ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่กลัวท่าน บารมี ๓๐ ทัศ นี้เป็นโยธาของเรา”

พระโพธิสัตว์ตรัสต่อว่า “พยานที่รู้เห็นการกระทำของเราไม่มี แต่พื้นดินอันหาวิญญาณมิได้นี้เป็นพยานของเรา เราได้สร้างมหาทานบารมีไว้ในสมัยเป็นพระเวสสันดรถึง ๗ ครั้ง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น